New Chevrolet Cruze 1.8L
สลับหน้าทรงสปอร์ต..กำลังต่อเนื่อง

LINE it!

      New Chevrolet Cruze 1.8L  ซึ่งโดดเด่นด้วยรูปทรงสไตล์สปอร์ต  ภายในห้องโดยสารหรูหราทันสมัยด้วยเทคโนโลยีอินโฟเทนเมนท์รุ่นใหม่ พร้อมขุมพลังเบนซิน 1.8 ลิตรให้กำลัง 141 แรงม้า กับเกียร์อัตโนมัติรุ่นใหม่ 6 สปีดที่สามารถตอบสนองในการขับขี่ได้ดี และเกียร์เปลี่ยนได้นุ่มนวลมากขึ้น รวมถึงช่วงล่างที่รองรับให้นั่งสบายและทรงตัวนิ่ง   



โฉมแนวคูเป้สปอร์ต  


     รูปทรงภายนอกได้รับออกแบบให้สัดส่วนตัวถังคล้ายรถคูเป้แนวสปอร์ต โดยกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ติดไฟตัดหมอกทรงกลมกับกรอบมุมโครเมียมแบบใหม่ เด่นด้วยกระจังหน้าใหม่แบบดูอัลพอร์ทที่ทันสมัย กับโลโก้เชฟวี่ โบว์ไทตรงกลางระหว่างกระจังหน้าสองชั้น พร้อมไฟหน้าทรงเหลี่ยมมุมแหลม กับไฟส่องสว่างแบบเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์ และสะดุดตาด้วยล้ออัลลอยขนาด 17นิ้ว ลายตัว V  ส่วนกันชนหลังใหม่พร้อมเส้นสายแบบสปอร์ต  และไฟท้ายสไตล์เชฟโรเลต คามาโร 



ภายในปรับแต่งสีทันสมัย   

     ภายในแบบดูอัลค็อกพิท ที่ได้มาจากซูเปอร์คาร์คอร์เวทท  พร้อมปรับแต่งสีใหม่ด้วยสีดำ-น้ำตาลแดง ตั้งแต่คอนโซลหน้า แผงประตู และเบาะนั่งทั้งหน้า-หลัง  โดยสวิทช์ควบคุมต่างๆ ถูกจัดวางใหม่ กับหน้าจอทัชกสรีนสีขนาด 7นิ้ว รองรับระบบอินโฟเทนเมนท์ เชฟโรเลต มายลิงค์ พร้อมเทคโนโลยีแอพพลิเคชั่นในตัว เพิ่มประสิทธิภาพการสั่งงานด้วยเสียงโดยเชื่อมต่อผ่านบลูทูธ



 

   ตามมาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งระบบเข้าออกห้องโดยสารและสตาร์ทเครื่องยนต์โดยไม่ต้องใช้กุญแจหรือ PEPS  กับพวงมาลัยสไตล์ 3 ก้านแบบมัลติฟังชั่นที่มีสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงและควบคุมครูซคอนโทรล พร้อมปรับไฟส่องสว่าง กับปรับตั้งการล็อกประตูรถ และเสียงกันขโมยได้ด้วย   และยังลดเสียงรบกวนแรงสั่นสะเทือนด้วยการติดตั้งกลไกไฮโดรลิกที่ช่วยลดเสียงเครื่องยนต์ มีการบุฉนวนสามชั้นที่แผงประตูและฉนวนห้าชั้นที่เพดานทำให้เงียบขึ้น



ขับคล่องเกียร์นุ่มลงตัว

     ด้านขุมพลังเป็นเครื่องยนต์อีโคเทคแบบเบนซิน 4 สูบขนาด 1,800 ซีซี.DOHC  16 วาล์ว Double CVC วาล์วแปรผันคู่ต่อเนื่อง  จ่ายด้วยหัวฉีดเชื้อเพลิงมัลติพอยท์  สามารถให้กำลังสูงสุด 141 แรงม้าที่ 6,200 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 177 นิวตันเมตรที่ 3,800 รอบ/นาที มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ‘Gen II’ รุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมระบบ Driver Shift Control ที่ให้ความแม่นยำยิ่งขึ้นและมอบความนุ่มนวลมากกว่าเดิมในการเปลี่ยนเกียร์ และรองรับน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ E 85 



    ในการทดสอบเชฟโรเลต ครูซใหม่นั้น จัดเป็นกรุ๊ปเล็กมีรถร่วมขบวนประมาณ 5 คัน โดยเลือกใช้เส้นทางกรุงเทพฯ –พัทยา โดยระยะทางรวมประมาณ 300 กว่ากม.แบบไปเช้าเย็นกลับในสไตล์ขับสบายชิลล์ ๆ ทำให้รับรู้ถึงสมรรถนะของรถที่ตอบสนองได้ดีพอประมาณ พร้อมเกียร์อัตโนมัติใหม่ที่พัฒนาได้ถูกใจมากขึ้น  




     มาที่การปรับโฉมของรถรุ่นนี้ได้มีการปรับแต่งในหลายส่วนทั้งด้านหน้าและเด่นสุดในส่วนท้ายรถได้รับการดีไซน์ใหม่หมด โดยเฉพาะไฟท้ายยืมมาจากรถสปอร์ตเชฟโรเลต คามาโร และกันชนท้ายที่ติดขอบโครเมียม ซึ่งเพิ่มมุมมองให้น่าสนใจมากขึ้น และเสริมสปอยเลอร์ในตัวที่ฝากระโปรงหลัง รวมถึงฝากระโปรงหลังยังเปิดด้วยรีโมทได้

     ส่วนภายในที่เห็นเด่นสุดน่าจะเป็นการตกแต่งด้วยสีดำ-น้ำตาลแดงที่มีเฉพาะรุ่น LTZ  แต่ถ้าเป็นรุ่น LT เล่นโทนดำล้วน และปรับระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ พร้อมเปลี่ยนหน้าปัดเป็นสีแบบ ICE BLUE กับหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้วสามารถสั่งด้วยเสียงได้ และย้ายปุ่มล็อกประตูมาอยู่ในแผงประตูทำให้ใช้งานง่ายขึ้น   

     สำหรับช่วงแรกของการขับต้องฝ่าการจราจรของกรุงเทพฯ อยู่พอสมควร  ซึ่งกำลังในการออกตัวอาจจะไม่ค่อยถึงใจเท่าไหร่ แต่พอรถลอยตัวแล้ววิ่งฉิ่วดีทีเดียว  และสามารถขับซอกแซกไปตามถนนได้อย่างคล่องตัว ทั้งนี้คงเป็นเพราะพวงมาลัยแบบไฟฟ้าที่มาช่วยให้เวลาหมุนรู้สึกได้ว่าเบามือจะหมุนซ้ายหรือหมุนขวาทำให้คล่องแคล่ว และเปลี่ยนทิศทางได้แม่นยำ  



    เมื่อเข้าสู่ถนนโล่งที่สามารถทำความเร็วได้เต็มที่  เชฟโรเล็ต ครูซ ดูจะไม่น้อยหน้าใคร  เพราะถึงแม้ว่ารุ่นเดิมจะมีปัญหาเรื่องเกียร์ให้หลายคนได้กังวล แต่พอมาถึงรุ่นใหม่นี้ได้มีการพัฒนาระบบเกียร์อัตโนมัติในเจนเนอเรชั่นที่ 2 ในแบบ 6 สปีด GF6 ซึ่งได้รับการปรับแต่งให้รับรู้ถึงการเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวลมากขึ้นและตอบสนองการขับขี่ได้ดีกว่าเดิม

     จากเกียร์รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพทำให้การขับสนุกมากขึ้น   โดยเฉพาะเวลาลากรอบในแต่ละเกียร์ค่อนข้างลื่นไหลโดยช่วงเกียร์ 1 ถึงเกียร์ 3 ใช้รอบอยู่ประมาณ 2,500 รอบ ซึ่งเพียงพอที่จะเรียกกำลังให้ออกมาได้อย่างต่อเนื่อง    จากนั้นพอขยับขึ้นเกียร์ 4 คราวนี้เพิ่มลากรอบให้มากขึ้นเป็น 3,000 รอบ ยิ่งเค้นกำลังออกมาได้เร็วขึ้น  

     และนั้นส่งผลให้ความเร็วขึ้นมา100 กม./ชม.ที่ 2,200 รอบต่อนาที ใช้เวลาแป๊ปเดียวและต่อเนื่องไปที่ 120 กม./ชม.ที่ 2750 รอบต่อนาทีได้อย่างสบาย ทำให้เวลาเร่งแซงรถคันอื่นผ่านฉิ่วไปแบบหายห่วง และสามารถเพิ่มความเร็วขึ้นไปยัง 160 กม./ชม.ได้ไม่ยากเท่าไหร่ นอกจากนี้ในช่วงเกียร์ 6 ถ้าความเร็วลดลงมาต่ำกว่า 100 กม./ชม.จะเร่งความเร็วขึ้นค่อนข้างช้า ยกเว้นเชนเกียร์ช่วยจะทำได้ดีกว่า   


 
    มาถึงช่วงล่างแบบยูโรไรด์ที่ยอมรับกันดี โดยด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง โช้คอัพแก๊ส และเหล็กกันโคลง  ส่วนด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีมรูปตัววี คอยล์สปริง และโช้คอัพแก๊ส ยังคงไว้วางใจได้เหมือนเดิม เพราะไม่ว่าจะใช้ความเร็วสูงระดับ 140 กม./ชม.ที่ 3000 รอบต่อนาที สามารถทรงตัวนิ่งได้น่าพอใจ ไม่มีอาการหวิวให้รู้สึกเลย หรือแม้แต่ในโค้งสามารถเกาะหนึบรับทุกโค้งได้อย่างสบาย  

     ที่สำคัญภายในห้องโดยสารยังสามารถป้องกันเสียงรบกวน และลงทุนติดวัสดุซับเสียงตั้งหลายชั้นทั้งแผงประตูกับเพดาน  ซึ่งถ้าเป็นรุ่นเดียวกันแค่ 120 กม./ชม.ก็มีเสียงให้ได้ยินบ้างแล้ว แต่นี่ที่ใช้ความเร็วระดับ 140 กม./ชม. กับปราศจากเสียงรบกวนยังคงให้ความเงียบมาก แทบจะไม่ได้ยินเสียงลมเข้ามาเลย  ตรงนี้สมกับราคาที่คุยไว้จริง          

    และในช่วงขากลับเพื่อเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ต้องเจอกับฝนตกลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้ง ๆที่ท้องฟ้ายังสดใสอยู่  แต่ไม่ใช่ปัญหาเพราะรุ่นนี้มีระบบที่ปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ  ซึ่งมีเซ็นเซอร์ตรวจจับน้ำฝนอัตโนมัติ Auto Rain Sensor  จึงสามารถทำหน้าที่ปัดฝนได้ทันทีก่อนที่กระจกหน้ารถจะมองไม่เห็น ทำให้รู้สึกสะดวกสบายมากขึ้น 

        สรุปโดยรวมแล้วเชฟโรเลต ครูซ ปี 2015  น่าจะถูกใจหลายคนที่ชื่นชอบรูปโฉมเท่สไตล์สปอร์ต ภายในหรูทันสมัยเด่นด้วยสีสันและเบาะนั่งกระชับสบาย  ส่วนสมรรถนะของเครื่องกับเกียร์รุ่นใหม่ ให้การตอบสนองขับขี่ที่คล่องตัวและช่วงล่างนุ่มนวลและทรงตัวได้อย่างมั่นใจ ซึ่งในรุ่น LT ราคา 946,000 บาท และ รุ่น LTZ  ราคา  998,000 บาท